เทศน์บนศาลา

ทุกขสัจ

๖ ต.ค. ๒๕๔๓

 

ทุกขสัจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เกิดมาต้องการความสุขจริง แต่มนุษย์เกิดมาไม่เคยเห็นทุกขสัจ แล้วไม่เข้าใจทุกขสัจ มนุษย์ปรารถนาหาแต่ความสุขใส่ตัว เหนือความปรารถนาของมนุษย์ มนุษย์ก็ใฝ่คว้าค้นหา พยายามดึงมาให้เป็นความสุขของตัว แต่มันไม่เป็นความจริง สิ่งที่ไม่เป็นความจริง เห็นไหม โดนกับดักของมารนะ พญามารครอบคลุมไว้ทั้งหมด เพราะสิ่งนั้นเป็นความจริง เหมือนกับสัตว์ ที่เขาดักสัตว์ สัตว์เรื่องนกหรืออะไรต่างๆ เขามีเครื่องดักสัตว์นั้น เขากักขังสัตว์นั้นเอาไว้ในบ่วง มนุษย์นี้กักขังตัวเองด้วยพญามาร กักขังตัวเองไว้ไง

กับดักของใจ มันดักตัวเองของตัวเองไว้ในบ่วงของมาร กับดักของสัตว์ เราดู เวลาเรามองดูสัตว์ตัวที่มันไปโดนบ่วงโดนอะไร เราคิดว่าทำไมสัตว์นี้ไม่มีปัญญาคิดเลย ทำไมไปโดนกับดัก สิ่งที่นายพรานหลอกไว้ให้ไปติดกับสิ่งนั้น นั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน เราเห็นสัตว์โลก

แต่เราก็เหมือนกัน มนุษย์ก็โดนกับดัก กับดักด้วยความคิดว่าลาภสักการะนี้เป็นที่หาความสุขของตัว สุขของตนคิดว่าสิ่งนั้นเป็นความสุขของตัว เราก็พยายามแสวงหาของเราขึ้นไป พยายามแสวงหาขนาดไหน ทำไปขนาดไหนมันก็ไม่เป็นความสุขขึ้นมา

มันเป็นความสุขโดยสมมุติสัจจะ สิ่งที่สมความปรารถนานี้ได้ชั่วคราว มันก็เป็นความพอใจของเรา สมมุติสัจจะ “สมมุติสัจจะ” สมมุติเฉยๆ มันไม่ใช่ทุกขสัจ ไม่ใช่อริยสัจ

เราถึงว่าเราเป็นมนุษย์นะ มีอำนาจวาสนา เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเอาไว้ “ทุกขสัจ” สอนไว้ ทุกข์นี้เป็นความจริง มีหลักธรรมคำสอนอยู่ เราก็ไม่สามารถจะพยายามขวนขวายออกจากทุกข์ได้ เพราะเราไม่เคยเห็นทุกข์ของเราเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เขามีความสุขนะ ท่านมีความสุขมากเพราะว่าเกิดมาในวรรณะของกษัตริย์ แล้วตั้งแต่อ้อนแต่ออกมา เพราะว่าพราหมณ์ได้พยากรณ์ไว้แล้ว ถ้าอยู่ในวรรณะกษัตริย์จะเป็นจักรพรรดิ จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ธรรมดาที่ว่ามีเป้าหมายอย่างนั้น พ่อแม่ก็พยายามประคบประหงมเต็มที่

วรรณะของกษัตริย์ปรารถนาสิ่งใดต้องสมความปรารถนา เพราะมันมีอำนาจวาสนาขนาดนั้น หาแต่ความสุขใส่ตัวได้มากนะ พ่อแม่พยายามให้อยู่ในโลกอยู่แล้ว อันนั้นมันเป็นความสุขที่เราพยายามแสวงหากันอยู่นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีครบบริบูรณ์ เพราะมีครบบริบูรณ์อย่างนั้น แล้วทำไมไม่ติดอยู่ในโลกนั้น

ถึงว่า ท่านมีอำนาจวาสนาบารมีสร้างสมมา เป็นบุญญาธิการก็ถูก อันนั้นก็ยอมรับว่าเป็นความจริงอันหนึ่ง เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาเต็มเปี่ยมที่จะต้องตรัสรู้แน่นอน ในชาตินั้นแน่นอน อันนี้เป็นอันหนึ่งที่ว่า ถึงว่าเวลาออกไปประพาสตามอุทยาน เทวทูตทั้ง ๔ นะ ความเกิด คนเกิด คนแก่...คนตาย มีอย่างนี้ด้วยหรือ พอมีอย่างนี้ด้วยหรือ ทำไมฉุกคิดได้ล่ะ

ถ้ามีทุกข์อย่างนี้นะ มันบีบคั้นขึ้นมาเพราะตัวเองเข้าใจว่า เหมือนเรา เราเข้าใจว่าสิ่งที่เราแสวงหากันอยู่นี้ ชีวิตนี้จะหาความสุขมาให้เราให้ได้ เราจะหาความสุขอยู่เพื่อเป็นความสุขของเรา เราแสวงหาสิ่งที่มันไม่เป็นจริง เราแสวงหาสิ่งที่ว่ามันเป็นสมมุติชั่วคราว สมมุตินี้มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปชั่วครั้งชั่วคราวขึ้นมา เราพยายามเกาะสิ่งที่ไม่จริงจะให้เป็นความจริงเพื่อจะเอาความสุข มันเป็นไปไม่ได้

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราก็ไม่ได้ฉุกใจคิด ถ้าฉุกใจคิด เราต้องพยายามแสวงหาทางออก เพราะ เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เข้าหาทุกข์ให้ได้ จับทุกข์ให้ได้

นี่มีตำราบอก มีเครื่องชี้ดำเนิน มันถึงว่าเป็นอำนาจวาสนาที่ว่าเราสมควรที่จะออกได้ แต่ทำไมเราออกไม่ได้ แล้วเราเทียบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าไม่มีเลย สิ่งที่ไม่มี ไม่มีใครบอกกล่าวนะ เพียงแต่เห็นเทวทูตทั้ง ๔ มันยังฉุกคิดขึ้นมานี่สะเทือนหัวใจมากนะ สะเทือนหัวใจว่า พอสะเทือนหัวใจแล้วก็มีความคิด

มีความคิดที่ว่า ถ้าสิ่งนี้มี มันต้องมีสิ่งที่ตรงกันข้าม ในเมื่อมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มันต้องมีไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สิ่งที่ตรงข้ามนั้น พอสิ่งที่มีตรงข้ามนั้น ความคิดอย่างนี้เข้ามามันก็รบกวนความคิดเดิม พอรบกวนความคิดเดิม มันก็มีความคิดที่อยากจะออกแสวงหา ออกแสวงหาทั้งๆ ที่ไม่มี ออกแสวงหาแล้วพอออกบวชได้ ต้องไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เจ้าลัทธิต่างๆ ก็สอนวิธีการ

ศึกษากับเขาหมด ทุกอย่างที่ทำได้นี่ ๖ ปี ความทำมา ๖ ปี ความทุกข์อันนั้นน่ะ ความทุกข์อันนั้นแล้วมาเทียบกับเราสิ เทียบกับเราที่เราจะทำกันอยู่นี่ ความเพียรของเราได้อย่างนั้นไหม คนที่ไม่มีวิชาการ ไม่มีธรรม ไม่มีสิ่งที่ว่าเป็นเครื่องชี้นำ ยังขวนขวายออกได้ขนาดนั้น เรามันมีอยู่พร้อม ธรรมะที่พระพุทธเจ้าวางไว้มีอยู่พร้อม ย้อนกลับมาที่เรา ถ้าเราคิดขึ้นมานี่เราจะคิดอย่างไร

เรามันหลงอยู่ในความเห็นส่วนเปลือกๆ อย่างนี้ เราไม่เข้าถึงสัจจะความจริง เราไม่เคยเห็นทุกข์ ทั้งๆ ที่เราบ่นกันว่าทุกข์ ว่าทุกข์นี่นะ มันเป็นคำบ่น มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันไม่ใช่เป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริง มันต้องสาวเข้าไปหาเหตุได้

สิ่งที่เป็นความจริงมันจะสาวเข้าไปหาเหตุ

เห็นคลื่นไหม คลื่นนะ คลื่นจากน้ำ เวลาทะเลบ้าคลื่นจะรุนแรงมากเลย มันซัดมาเป็นคลื่น อารมณ์เราเกิดขึ้นมาก็เป็นแบบนั้น คลื่นแต่ละลูกซัดเข้ามา เวลาซัดเข้ามา ซัดเข้ามาเป็นลูกคลื่น มันซัดขึ้นมาเพราะลมพัด เพราะอาการปั่นป่วนของทะเลนั้นมันพัดขึ้นมา เป็นลูกคลื่นเข้ามาแล้วมันก็หายไป คลื่นซัดเข้ามาแล้วก็หายไป ลูกแล้วลูกเล่าหายไป

สัญญาอารมณ์ของเราเกิดขึ้นมาในใจของเราลูกแล้วลูกเล่าซัดเข้าไป ซัดเข้าไป ซัดเข้าไป ซัดออกไป ซัดนี่คือเสวยอารมณ์ คลื่นลูกหนึ่งเกิดขึ้น ความทุกข์อันหนึ่งเกิดขึ้น ความยึดมั่น ความติดของเราเกิดขึ้นในความทุกข์นั้น ในความคิดอันนั้น คลื่นลูกหนึ่งแล้วก็ซัดหายไป...มันไม่มี ถึงบอกว่าเป็นสัญญาอารมณ์ เราไม่สามารถเห็นทุกข์ เพราะเราไม่เคยเห็นทุกข์ เราก็ไม่สามารถสาวไปหาเหตุแห่งทุกข์ได้ ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริงนะ

“ทุกข์” ทุกข์คือความขัดข้องใจ ทุกข์คือความไม่พอใจ สัญญาอารมณ์ก็เกิดขึ้นจากตรงนี้ ตรงที่มันเกิดขึ้นมาแล้วมันขัดข้องใจแล้วเราไม่พอใจ นี้ทุกข์จรมา แก้ทุกข์อย่างนี้แก้ไม่ได้ สิ่งนี้เป็นทุกข์จรมา สิ่งที่จรมา ทุกข์ที่ว่าเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์เริ่มต้น ชาติปิ ทุกฺขา ความเกิดนั้น ความเกิด ชาติความเกิดนั้น เพราะมีสิ่งที่รองรับ มีใจปฏิสนธิตั้งมั่นขึ้นมา เป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วมีขันธ์ ๕ พอขันธ์ ๕ นี่คลื่นอารมณ์มันซัดไป แล้วเราสาวไม่ได้ถึงตรงนั้น

นี้คือหลักธรรม หลักธรรมที่ว่าเรามีหลักธรรมแล้วเราควรจะเตาะแตะก้าวเดินออกไปได้ เราก็ทำกันไม่จริงไม่จัง ความที่เราทำไม่จริงไม่จังเพราะมันเป็นสัญญาอารมณ์ เกิดขึ้นวูบหนึ่ง เกิดขึ้นในทางความทุกข์ก็มีความทุกข์เผาลนตัวเอง เกิดขึ้นในทางที่ว่าเราจะทำคุณงามความดี เราอยากจะประพฤติปฏิบัติก็วูบหนึ่งเหมือนกัน คลื่นนั้นซัดเข้าไป ความคิดที่ว่าเรายึดมั่น เราตั้งใจอยู่ก็ชั่วครั้งชั่วคราวก็หายไป เป็นไฟไหม้ฟาง ไฟไหม้ฟางวูบวาบอยู่อย่างนั้น มันวูบไปวาบมาเป็นสัญญาอารมณ์กับเราเท่านั้นเอง เราถึงไม่เคยเจอของจริง เราทำของจริงไม่ได้

เราทำของจริงขึ้นมากับหัวใจของเรานะ เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีกายกับใจ มีกายกับใจ ถ้าเราจะแก้ อะไรมันเป็นตัวเกิด สิ่งที่เราเกิดขึ้นมา โลกนี้มองได้ก็เกิดคลอดออกมาจากครรภ์ของมารดาเท่านั้นน่ะ แต่ตามหลักธรรมแล้วไม่ใช่ หลักธรรมตั้งแต่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ นั่นน่ะ มันเกิดตั้งแต่ตอนนั้น เพราะกรรมพาเกิด มันจะสาวเข้าไปหาตรงนั้น

ธรรมอันนี้มันประเสริฐ เราใกล้ชิดเหมือนใกล้เกลือกินด่าง มีเกลืออยู่แต่ไม่กิน เกลือนั้นไม่สามารถมีคุณค่าขึ้นมา ความเค็มของเกลือไม่สามารถให้เราฉุกคิดได้เลย เราถึงว่าเราลูบคลำศาสนา เราพบพระพุทธศาสนา เราว่าเราเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ลูบคลำศาสนา ไม่เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นครูเอกของเรา ศึกษามา ๖ ปี ๖ ปีมีแต่ทำความสงบขึ้นมา ทำใจให้สงบเข้ามาเท่านั้น ๖ ปีไปเรียนกับใครมาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่

นี่เพราะว่ามีอำนาจวาสนา จะต้องทะลุออกจากกิเลส

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วบอกกับพราหมณ์ไว้ไง “ในโลกนี้ไม่มีใครที่ว่าอาวุโสเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เพราะว่าเป็นผู้ที่เจาะฟองไข่ ไก่ตัวนี้เจาะฟองไข่ออกมาเป็นไก่ตัวแรกของโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เจาะฟองไข่ของอวิชชา

อวิชชา มารที่ทำให้เราหลง กับดักของมารที่เราหลงอยู่ในพญามาร มารครอบคลุมเราอยู่ ว่าสิ่งนั้นเป็นความสุข สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พอใจ สิ่งนี้เป็นไป มันเป็นความคิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากะเทาะเปลือกอันนี้ออกทั้งหมด ใจดวงนั้นบริสุทธิ์ออกมา ออกมาแล้วถึงพ้นจากการเกิดอีกแล้วต่อไปทั้งสิ้น

ใจดวงนี้บริสุทธิ์พ้นจากการเกิด เห็นว่าการเกิด การตาย เห็นโทษไง จนสลดสังเวชมากว่าจิตนี้ตายเกิด ตายเกิดมาขนาดไหน จิตดวงเรานี้แหละ ดวงที่ว่าเป็นเราเป็นเราอยู่นี่ ตายเกิดตายเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติไม่มีต้นไม่มีปลาย มันสลดสังเวชขนาดนั้น สลดสังเวช สลดสังเวชอันที่ว่าเราหลงมา แต่เสวยวิมุตติสุขสิ สุขที่ในกะเทาะฟองไข่นั้นออกมา มันจะไม่ต้องไปเกิดไปตายอีกแล้ว

เพราะการที่จะไปเกิดไปตาย ทำลายเชื้อฟองไข่นั้นได้แตกออกไปแล้ว ไม่สามารถจะไปฟักได้อีก ไก่ตัวนั้นเกิดออกมา จิตดวงนั้นพ้นจากอวิชชาออกมา พ้นจากการควบคุมของพญามารทั้งหมด ถึงเสวยวิมุตติสุข ถึงได้สงสารสัตว์โลก อยากนะ อยากมีความเมตตาเผื่อแผ่ พยายามรื้อสัตว์ขนสัตว์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มาก็เพราะเหตุนั้น มีความเมตตาสั่งสอนโลก มีความเมตตาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้มีที่พึ่ง ถ้าไม่มีธรรมเป็นที่พึ่ง หัวใจมีแต่ความทุกข์นะ หัวใจมีแต่ความทุกข์ถ้าไม่มีศาสนามาเป็นที่เจือจานแล้ว มันไม่มีที่พึ่งที่อาศัยทั้งหมด ที่พึ่งที่อาศัยจะเอาที่ไหน มันมีแต่มาร มีแต่ความคิด มีแต่กว้านของร้อนๆ เข้ามาใส่ตัว คลื่นซัดไปซัดไปแล้วก็หายนั้นเป็นคลื่นข้างนอก

แต่คลื่นในหัวใจของเรา มันซัดแล้วมันไม่หาย มันซัด ความเจ็บความปวดมันจะตกตะกอนอยู่ในใจทั้งหมด คุณงามความดีมันก็ตกตะกอนอยู่ในใจ มันเกิดขึ้นดับไป ของใหม่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา แล้วสิ่งที่กระทบกระเทือนทำปฏิกิริยาต่างๆ ในเรื่องของกรรมเวรแล้ว มันก็ทิ้งไว้บนหัวใจ

บอกว่า มันเป็นกับดักของมาร มารล่อเราไปนะ ล่อเราไป เราก็ใช้ชีวิตของเราไป ใช้ชีวิตของเราไป

คนที่ใช้ชีวิต เห็นไหม พยายามวิ่งเต้นเผ่นกระโดดไปตามกระแสของโลกาภิวัตน์ เขาว่ากันอย่างนั้นนะ ตามกระแสของโลกเขา ตามกระแสของโลกเขาก็หมุนไป กระแสของโลกมันหมุนไปหมุนไปเพื่อจะให้ข้องอยู่ในโลก เราเข้าไปยุ่งอยู่ในโลกนี่มารล่อไป เดินตามมารไปเหมือนกับเขาเอาสัตว์ไปโรงเชือด เวลาเขาเอาสัตว์ไปโรงเชือด กำหนดวันตายของสัตว์ได้เลยว่าตัวนั้นถึงเวลาต้องเอาไปโรงเชือด เพราะว่าเขาตีตราเอาไว้แล้ว

ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถึงเวลาเดินตามพญามารไปจนถึงสิ้นสุดอายุขัย แล้วก็จะเสียใจนะ ตีโพยตีพายขณะที่จะดึงเข้าโรงเชือดนั้น พอดึงเข้าโรงเชือด สัตว์มันจะต่อต้าน มันก็รู้ มันมีสัญชาตญาณของมัน

จิตของเราก็เหมือนกัน ถึงเวลาจะดับขันธ์ ถึงเวลาจะตายขึ้นมา ห่วงเพราะมันต้องไปแล้ว มันไม่มีโอกาสได้ผัดวันประกันพรุ่ง มันไม่มีโอกาสว่าได้ต่อรองกันก่อนว่าเมื่อไรถึงจะให้ถึงเวลาของมัน มันไม่มีโอกาสต่อรอง มันก็อยากจะรู้ รู้ต่อเมื่อถึงที่สุดแล้ว รู้ต่อเมื่อถึงเวลาเข้าถึงพญามัจจุราชจะเอาชีวิตนี้ออกจากร่าง ก็ตีโพยตีพาย นี้เป็นเหยื่อของมาร

เพราะเราไม่เห็นอริยสัจ “ทุกขสัจ” เราไม่เห็นทุกขสัจ เราก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ มันไม่มีกำลัง ไม่มีแก่ใจ ความที่ไม่มีแก่ใจที่จะทำ มันเลยไม่รู้ว่าเหตุอยู่ที่ตรงไหน อยู่ในโลกของเขาเป็นบ่วงของเขา เป็นกับดักเป็นเหยื่อของมาร มารที่เกิดจากความคิดของเราเองนี่แหละ

ให้ย้อนกลับมาที่ความคิดของเราที่ว่าเราว่าเราฉลาด เราฉลาดแหลมคม เราเป็นคนที่ว่ารักตัวสงวนตัว เราอยากจะทำประโยชน์ให้กับตัวเอง...ตรงนี้ มันพาคิดไป มันพาคิด นั่นล่ะมารออกจากตรงนี้ มารทำให้เราคิดฟุ้งซ่านออกไปเหมือนกัน เหยื่อนั้นป้อนเข้ามา เหยื่อว่าเป็นเรา เป็นเรา เราต้องคิดว่าเราดี เรารักเรา แล้วเราจะคิดเอาแต่ความดีมาใส่เรา

แต่ดีของพญามารไง ดีของการผูกมัดไว้ในโลก ผูกมัดไว้ในโลก ทำไปสิ ประพฤติปฏิบัติก็ประพฤติปฏิบัติไปสักแต่ว่าประพฤติปฏิบัติ มันไม่เป็นผลขึ้นมา

แม้แต่ชีวิตทางโลกก็เป็นชีวิตทางโลก แม้แต่สละโลกแล้วออกมาประพฤติปฏิบัติ สละโลกนะ สละโลกไว้เป็นโลก ความประพฤติปฏิบัติมันก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ความที่ลุ่มๆ ดอนๆ มันมีความทุกข์ ทุกข์อันหนึ่ง ทุกข์คือความจริงที่เกิดที่เอาทุกข์นี้เป็นอริยสัจที่มองไม่เห็น ทุกข์จรมามันเห็นกันบ่อย เวลาเราทำความเพียรนะ มันจะมีความขัดข้องหมองใจ อดนอนผ่อนอาหาร การอดนอนผ่อนอาหารเพื่อจะเริ่มต้นที่ทำใจของตัวเองให้มันอ่อนกำลังลง นี่มันเป็นความทุกข์ไหม

ทุกข์จรมาทั้งหมด ทุกข์อย่างนี้เพราะเราเต็มใจจะทุกข์ สิ่งที่เราเต็มใจจะทุกข์เพราะเรารู้ว่าสิ่งนี้มันจะเข้าไปหาสัจจะอันนั้นได้ ถ้าไปหาสัจจะอันนั้นได้ เราจะสาวไปหาเหตุได้ ถ้าเราสาวไปหาเหตุ มันก็เป็นอริยสัจขึ้นมา อริยสัจ ถ้าเราเห็นอริยสัจ แล้วเราเข้าไปอยู่วงอริยสัจนั้น จิตดวงนี้จะประเสริฐขึ้นมา จิตดวงนี้จะพ้นออกไปตามทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าตามทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันจะตามทันได้อย่างไร? ก็ตามทันด้วยการเข้าไปค้นคว้าในหัวใจของเรา ในสิ่งที่มันเกิดมันตายนั่นน่ะ ต้นเหตุมันอยู่ที่การเกิดและการตายในหัวใจของเรา หัวใจนี้ปฏิสนธิเกิดขึ้นมาเป็นเราแล้ว ถ้าจะเข้าถึงตรงนี้ได้ มันต้องทำความสงบ

แต่นี้มันไม่สงบเพราะว่าเราทำไม่เพียงพอ ความที่เราทำไม่เพียงพอ สัจจะของเราไม่พอ สมถกรรมฐานของเราไม่เกิดขึ้น คลื่นอันนี้มันเป็นคลื่นอารมณ์มา มันซัดเข้าหาฝั่งแล้วมันก็หายไป ซัดเข้าหาฝั่งแล้วหายไป แต่มันเกิดลูกใหม่ขึ้นมาตลอด แล้วพอเกิดลูกใหม่ มันเป็นอนิจจังอยู่ในหัวใจตลอดเวลา สิ่งที่เป็นอนิจจังมันจะไปทำอะไรบนคลื่นได้ เราจะไปตั้งโรงงานอยู่บนคลื่นให้คลื่นมันซัดเข้าฝั่ง โรงงานนี้ไม่คว่ำอยู่กลางทะเลนั้นเหรอ

นี่เหมือนกัน มันเป็นงานขึ้นมาไม่ได้เพราะมันง่อนแง่น จิตนี้ไม่ตั้งมั่น จิตนี้ง่อนแง่นตลอดเวลา จิตนี้ง่อนแง่นแล้วจะไปเจอทุกขสัจที่ไหน มันก็ซัดแต่สมมุติสัจจะให้เราดูไปตลอดเวลา สมมุติสัจจะมันก็สัญญาอารมณ์ เราก็วนเวียนอยู่นั่น

ประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน แต่เพราะความเราศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ ความที่เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นแบบอย่าง ศิษย์มีครูมีตัวอย่าง ๖ ปีที่ทุกข์อยู่นั้นขนาดไหน ขนาดบารมี... ๖ ปีที่ทุกข์อยู่นั้น

แล้วพระยสะ พระยสะก็มีอำนาจวาสนาบารมีมา ไม่ถึง ๖ ปี คืนนั้นสำเร็จเลย นี่ผู้ที่เป็นสาวก-สาวกะ ย้อนกลับมาที่เรา เราดูความเพียรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ ๖ ปีนั้น กับดูพระยสะที่ว่ามีโอกาสที่จะพ้นออกจากกิเลสนั้น เห็นไหม ภายในคืนเดียว

นี่ก็เหมือนกัน ในความจริงจัง ถ้าเกิดความจริงจังขึ้นมา ความจริงจังมันจะเริ่มพยายามต้อนคลื่นนั้น ต้อนคลื่นนั้นออกไป ต้อนคลื่นนั้นออกไป ถ้าคลื่นนั้น จากที่ว่ารุนแรงมากก็จะเบาลง เพราะอะไร เพราะมีสติ มีสติควบคุม มีความกำหนดคำบริกรรมที่ต่อเนื่อง งานนั้นก็เป็นงานขึ้นมา แล้วเราจริงจังของเราขึ้นมา ความจริงจังมันจึงเป็นผลงานขึ้นมา

ทำแต่ว่าสักแต่ว่า สิ่งที่เป็นสักแต่ว่า ถ้านิสัยคนมันโลเลเหลาะแหละ มันก็ทำสักแต่ว่า ความเป็นสักแต่ว่า ความตั้งใจสักแต่ว่า มันจะเอาความจริงมาจากไหน เริ่มต้นมันก็เป็นความไม่จริงอยู่แล้ว เพราะเริ่มต้นความไม่จริง เราก็ต้องแก้ไขเรา เราพยายามแก้ไขเราขึ้นมา เราแก้ไขเราตั้งแต่ภายนอกเข้ามา จนถึงภายใน ถ้าเป็นภายในขึ้นมา แล้วจะสาวเข้าไปหา พยายามทำความสงบของเราขึ้นมาให้ได้ ถ้าทำความสงบของเราขึ้นมาได้ ทำความสงบเข้าไป ทำความสงบเข้าไป

ถ้าความสงบมันสงบขึ้นมา คลื่นนั้นเหมือนกับคลื่นนั้นไม่มี พอคลื่นนั้นไม่มี มันเหลือแต่ทะเลที่ราบเรียบไป ทะเลที่ราบเรียบเป็นอะไร? เป็นน้ำ น้ำเฉยๆ ที่ราบเรียบอยู่ไม่มีคลื่น หัวใจที่สงบขึ้นมา ทำใจให้สงบเข้าไป สงบเข้าไป ถ้าถึงความสงบขึ้นมา อารมณ์มันไม่เกิด คลื่นมันไม่ซัด คลื่นมันไม่ซัด อารมณ์มันก็ไม่เกิดขึ้นมา พออารมณ์มันไม่เกิดขึ้นมา มันก็เป็นความตั้งมั่น คือจิตมันสงบตัวอยู่ พอจิตสงบตัวอยู่ พยายามทำเข้าไป มันมีอยู่ในความสุขขณะที่จิตนี้สงบขึ้นมา จิตนี้สงบขึ้นมามันมีความสุขอยู่แล้ว นี่เราไม่หลงตรงนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าไปฝึกกับเจ้าลัทธิต่างๆ ก็เหมือนกัน เขาสอนได้อย่างนี้ไง สิ่งที่ทำความสงบของใจมันมีอยู่โดยดั้งเดิม ในเจ้าลัทธิต่างๆ ก็สอนแต่ความสุข ความสงบอย่างนี้ แล้วเขาว่าอันนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าการประพฤติปฏิบัติเขาได้ผลแล้ว

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ทุกขสัจยังไม่เจอ” ถ้าหาทุกขสัจเจอ ต้องหาทุกขสัจให้เจอ ถ้าทุกขสัจเจอแล้วมันจะสาวไปหาเหตุ หาเหตุ เป็นอริยมรรค เป็นอริยสัจด้วย อริยสัจเป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคอันนั้นก็เป็นอริยมรรคขึ้นมา

แต่การทำความสงบเข้ามานี้ มันเป็นพื้นเพเดิมที่มีอยู่โดยดั้งเดิมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษาเล่าเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ มันมีอยู่โดยดั้งเดิมแล้วเขาว่าอันนี้เป็นผลด้วย เขาไม่เห็นทุกขสัจ เขาถึงเข้าไม่ถึงธรรม แต่เดิมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีครูสอนเพราะเหตุนี้ เหตุที่ไม่มีใครเข้าถึงสัจจะความจริงได้เลย

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงสัจจะความจริง เข้าถึงสัจจะความจริงก็เพราะว่าดูคลื่น บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตนี้สาวออกไป พอสงบแล้วมันออกไปอดีต จุตูปปาตญาณ สิ่งนี้ออกรู้ ออกรู้ก็ไม่ใช่ อาสวักขยญาณเข้ามา

อันนี้เราก็เหมือนกัน เราไม่สามารถทำขนาดนั้นได้ พอจิตนี้สงบแล้ว เราต้องขุดคุ้ยลงไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม งานนี้มันอยู่ตรงนี้ ถ้าเห็นนี่คือเห็นทุกขสัจ เห็นทุกขสัจ เห็นตัวใจที่มันเป็นทุกข์ เห็นกายเพราะตัวเราไปเห็นกาย ถ้าเห็นทุกขสัจมันก็สาวไปหาเหตุ

“ทุกข์” ทุกข์นี้ควรกำหนด กำหนดที่ใจของเรา กำหนดที่ว่าเหตุที่มันเป็นทุกข์อยู่นี้มันจับต้องได้ พอเหตุที่เป็นทุกข์มันต้องมีตัวตน ตัวตนที่มันไปรับรู้ กายก็เหมือนกัน พอเรายึด เรายึดกายเป็นเรา ยึดต่างๆ นี้เป็นเรา ความเป็นเรา พอเป็นเรามันมีอยู่ พอมันมีอยู่ มันก็เป็นไป คลื่นมันก็เกิดขึ้น

เริ่มต้นคลื่นนี้เป็นโลกียะ สิ่งที่เป็นความคิดของเรามันเป็นโลกียะ โลกียะหมายถึงว่ามันเป็นคลื่นซัดเข้าไป เป็นสมมุติสัจจะ มันเป็นสมมุติสัจจะอยู่ในหัวใจของเรา แต่เพราะเราทำด้วยสมมุติเหมือนกัน มันถึงว่าเป็นมารล่อมาร

เราว่าเราประพฤติปฏิบัติ แล้วเรากำหนด พยายามกำหนดกาย เวทนา จิต ธรรม โดยที่ว่าเราไม่ทำความสงบเลย มันก็เป็นไปโดยสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์จะเป็นไปโดยธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น แล้วมันว่ามันจะปล่อยวางปล่อยวาง มันก็ปล่อยวางมาแบบนั้น

ถึงบอกว่า ถ้าไม่ทำสมถกรรมฐานเข้ามาก่อน จนทะเลนี้ราบเรียบ เสร็จพอทะเลนี้ราบเรียบแล้ว ใจนี้เป็นความตั้งมั่นแล้ว ก็ต้องไปจับคลื่นนั้นอีก การไปจับคลื่น กาย เวทนา จิต ธรรม ก็ต้องไปตรงคลื่นนั้น ตรงคลื่นนั้น ทำลายกันที่คลื่นนั้น

เพราะคลื่นกับน้ำเป็นอันเดียวกัน แต่เวลามันเกิดขึ้นมา คลื่นมันเกิดขึ้นจากน้ำนั้น น้ำนั้นก่อตัวขึ้นมาเป็นคลื่น คลื่นนั้นก็ซัดไปเป็นอารมณ์ เป็นขันธ์ ๕ เป็นความคิด เป็นความยึดมั่นถือมั่น ก็ต้องกลับมาทำลายที่คลื่นนั้น เอาคลื่นนั้นขึ้นมาเป็นที่ตั้งที่ควรแก่การงาน งานในการวิปัสสนามันต้องวิปัสสนาตรงนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะวิปัสสนาตรงไหน

สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานหมายถึงว่าดูกายกับใจ กายกับใจที่โดนมารมันล่อลวงไปในอาการของธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นั้น ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นั้นเป็นสมบัติที่เราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา โดยธรรมชาติที่ว่าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นสักแต่ว่า มันเป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ โดยธรรมชาติของมัน

แต่ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ของเราผู้ประพฤติปฏิบัติใหม่ มันเป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ที่ตกอยู่ในการปกครองของพญามาร มันต่างกันตรงนี้ไง ถ้าทำลายธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ จนพ้นจากความสะอาดไปแล้ว มันก็เป็นสักแต่ว่า แต่เพราะปัจจุบันนี้มันมีมารคุมอยู่ในนั้น เพราะมารใช้ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้เป็นเหยื่อของเขา เป็นที่อาศัยของเขา แล้วก็สร้างความทุกข์มาให้เรา สร้างความทุกข์มาให้เรา เราถึงไม่เห็นทุกขสัจ ทุกขสัจที่มันสร้างขึ้นมานี้เป็นแต่คำบ่น เป็นแต่อาการของมัน เป็นสัญญาอารมณ์ของมัน

แต่เราทำความสงบของใจจนใจนั้นสงบขึ้นมาแล้ว จนสงบราบเรียบแล้ว แล้วเอาใจนั้นย้อนกลับมาดู พื้นของน้ำ มันสร้างคลื่นขึ้นมา มันต้องรู้ตัวมันเองว่ามันสร้างคลื่นขึ้นมา เพราะมันสร้างคลื่นขึ้นมาจากน้ำนั้น พอสร้างคลื่นขึ้นมาแล้วก็จับคลื่นนั้น ว่าคลื่นนี้เกิดจากอะไร? เกิดจากกระแสของลมพัดเข้าไป เกิดจากกระแสลมแล้วไล่ตามเข้าไป นี่แยกออกจากกัน ความแยกออกจากกันนั้นเป็นการวิปัสสนา วิปัสสนาในคลื่นนั้นเหมือนกัน วิปัสสนาในคลื่น พอวิปัสสนาในคลื่น วิปัสสนาอะไร? วิปัสสนาสิ่งที่ว่าเป็นพลังงานที่พัดคลื่นนั้นไป

อันนี้ก็เหมือนกัน พญามารใช้อะไรออกมาจากอารมณ์ตามออกมา ออกมาอย่างไร ย้อนกลับเข้าไป ย้อนกลับเข้าไปตรงนั้น แยกออก แยกออก ความแยกออกหมายถึงแยกคลื่นออกไป คลื่นนี้ถ้าเราเอามือราบไป มันก็จะไปตามมือของเราออกไป

อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อปัญญาเราเกิดขึ้น กำลังของใจเกิดขึ้น กำลังใจเกิดขึ้นนะ ความสงบเกิดขึ้นนี่มันจับต้องได้ ใจนี้ขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลย เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เป็นสัมมาสมาธิ แล้วใช้ปัญญาควบคุมพิจารณาออกไป เป็นการต่อต้านกลับเข้าไปในคลื่นนั้น ทำลายคลื่นนั้นออก ทำลายคลื่นนั้นออก แยกออก

ความแยกออกจากมรรคอริยสัจจัง มรรคตัวนี้เป็นอริยมรรค มรรคตัวนี้อยู่ในอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เกิดขึ้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกขสัจเกิดขึ้น มรรคตัวนี้สาวหา มรรคตัวนี้ทำงาน พอมรรคตัวนี้ทำงาน มันจะสาวไปหาเหตุสิ หาเหตุ เหตุคืออะไร? เหตุคือสมุทัย ทุกข์กับสมุทัย สมุทัยตัวตัณหาความทะยานอยาก มันเข้าไปสร้างเงื่อนไขขึ้นมา การสร้างเงื่อนไขขึ้นมามันถึงเกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมา มรรคก็เดินเข้ามา เวียนเข้ามา นี่อริยสัจทำงาน เพราะมรรคก็วนเข้าไปในอริยสัจนั้น มรรคแยกออก แยกออก แยกความเห็น ความคิดว่าเป็นทุกข์ ทุกข์เกิดอย่างไร

มันเป็นภาษาคลื่น คลื่นมันมีพลังงานจับให้ได้ จับให้ได้แล้วแยกออกสิ

บางทีมันพิจารณาไป กำลังเราดีขึ้นมา มันเป็นผล พอเป็นผลขึ้นไป สังขารนี้เป็นปัญญา

แล้วสังขารที่เป็นทุกข์ล่ะ สังขารที่ว่าเป็นสัญญาล่ะ สัญญานี้เป็นสัญญา เราใช้งานของเราบ่อย เราใช้งานบ่อย พอใช้งานบ่อย พลังงานมันน้อยลงๆ สัมมาสมาธิในมรรคน้อยลงๆ ความน้อยลง ใช้เข้าไป

สังขารที่ว่าถ้ามีสมาธิอยู่มันจะเป็นปัญญา สังขารที่สมาธิน้อยอยู่ มารมีพลังขึ้นมา พลังของมารมันจะใช้ของมันขึ้นมา พอพลังของมารเกิดขึ้น พลังของมารจะหลอกล่อ ความหลอกล่อ นี่บ่วงของมาร มารขนาดว่าต่อสู้แม้แต่ในวิปัสสนา เห็นไหม จะพยายามให้เหตุผล ให้เหตุผล ให้ค่านั้นเบี่ยงเบนไป ความเบี่ยงเบนไป เราก็หลงตามไป ความหลงตามไป ต้องย้อนกลับมา

งานวิปัสสนา ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาตั้งต้นใหม่ เพราะอารมณ์ใช้งานไปแล้ว ๑ รอบนะ ความคิด ๑ วงจรของความคิด มันหมุนไปนะ มันสร้างโลกสร้างความคิดขึ้นมามหาศาลเลย มันหมุนออกไป เราย้อนกลับมาตั้งพื้นฐานของใจใหม่ พื้นฐานของความสงบ พื้นฐานของความราบเรียบของน้ำนั้น พยายามทำความสงบเข้ามา ปล่อยงานนั้นเลย ปล่อยงานนั้นหันกลับมาทำความสงบ วิปัสสนาเข้าไปใหม่ วิปัสสนาไป พอทำความสงบได้กำลังแล้วถอนออกมา วิปัสสนาไป ขึ้นมาทำวิปัสสนาอย่างเดิมนั้น

อริยสัจจะหมุนไปอย่างเดิมตลอด หมุนไป หมุนไป ถ้ามันหมุนออกมาได้ ทั้งอริยสัจด้วย ทั้งมรรคด้วยหมุนไป จนเกิดนิโรธ นิโรธคือความเข้าใจ เพราะเข้าใจ เกิดนิโรธมา หลุดออกมาจากอริยสัจนั้น จิตที่หลุดออกจากอริยสัจนั้น

คลื่นมันก็เบาตัวลง เบาตัวลงไปชั้นหนึ่งชั้นหนึ่ง ใจมันจะประเสริฐขึ้นมา ประเสริฐขึ้นมา ความที่ประเสริฐขึ้นมา “ทุกขสัจ” เห็นทุกขสัจตามความเป็นจริง เห็นเหตุ สมุทัยที่ทำให้เกิดทุกข์นั้นจริง อริยมรรค หมุนไปตามความเป็นจริง นิโรธเกิดขึ้นจริง ใจดวงนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ รู้อริยสัจตามความเป็นจริง จากที่ว่ารู้โดยสัญญาอารมณ์

แต่เดิมรู้โดยสัญญาอารมณ์ เพราะว่าเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมารก็ล่อไปลวงไป ล่อไปลวงไป แม้แต่การประพฤติปฏิบัติก็ล่อไปลวงไป เวลาเราศึกษาแล้วเราก็ว่าเราเข้าใจ เราเข้าใจ ขณะนั้นประพฤติปฏิบัติอยู่ก็ให้มารลากถูไถไป ล้มกลิ้งล้มหงายได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง ตามไป ตามไปประสากิเลสที่มันจะหลอกล่อเราไป

แต่ในเมื่อถ้าใจประเสริฐนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจแล้ว ใจนี้ออกมาจากอริยสัจ นี้จะล่อลวงไม่ได้เลย ใจที่หลุดออกมาจากอริยสัจนี้ไม่มีสีลัพพตปรามาสไง ความลังเลสงสัยของจิตดวงนี้มันจะไม่ลังเลสงสัยอีกแล้ว เพราะว่ามันผ่านออกมาจากหลักอริยสัจตามความเป็นจริง แล้วหลุดออกมาเข้าใจตามความเป็นจริง ต้องวางไว้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น นี่มันถึงว่าเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะใจดวงนั้น ใจดวงนั้นพ้นออกมา พ้นจากทุกข์ออกมา จากเข้าไปที่ว่าทุกขสัจนี้ ทุกข์เป็นความจริง

แล้วหาเหตุ เหตุก็เป็นเหตุจริง แล้วปฏิบัติก็เป็นปฏิบัติจริง ปฏิบัติจริงนะ ปฏิบัติจริงบำเพ็ญ ความเพียรจริง มันหมุนเข้าไปจนมันหลุดออกมา หลุดออกมาถึงว่าเห็นทุกขสัจตามความเป็นจริง ผู้ที่เห็นทุกขสัจแล้วจะต้องพ้นออกไปจากทุกขสัจเพราะสาวเข้าไปได้ แต่ทุกขสัจมันก็มีละเอียดอ่อนเข้าไปเป็นชั้น ละเอียดอ่อนเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป นี่มันมีกำลังใจหมุนออกมา ความหมุนออกมา ทำเข้าไป คนทำงานเป็นนะ จิตที่ทำงานเป็นกับจิตที่โดนมารนี้ครอบคลุมไว้ทั้งหมด

แต่มารนี้ครอบคลุมส่วนละเอียดไว้ แต่สิ่งที่เรารู้นี้ เรารู้ขึ้นมา พลังงานเราจะเกิดขึ้น

ความองอาจกล้าหาญนะ ใจที่มีที่พึ่งกับใจที่ไม่มีที่พึ่งนะ แต่เดิมใจเราไม่มีที่พึ่ง เราพยายามขวนขวาย พยายามต่อสู้ขึ้นมาด้วยศรัทธา ด้วยความยึดมั่นถือมั่นครูบาอาจารย์เพื่อจะต่อสู้นะ นี่เป็นกำลังใจขึ้นไป กับกำลังใจที่มันมีขึ้นมาในหัวใจของเรา ใจดวงนี้รู้สัจจะความจริงแล้วส่วนหนึ่ง กำลังใจอย่างนี้ถึงว่าไม่เป็นสีลัพพตปรามาส มันถึงว่าเป็นกำลังใจที่ว่าแน่นอน มีความสุข ความสุขพอแต่ที่จะมีกำลังต่อสู้ไป ความสุขอันนี้นะ

ทุกข์อันละเอียดก็อย่างที่ว่านั้นน่ะ แต่เดิมถ้าเราอยู่ในมารที่ล่อลวงอยู่ เราใช้ชีวิตไปโดยไร้สาระ แต่สิ่งที่ว่ามีธรรมขึ้นมาในหัวใจแล้ว จะไม่ใช้ชีวิตแบบนั้นเลย จะใช้ชีวิตแบบว่าต้องพยายามถึงที่สุดให้ได้ มันเห็นทุกข์ เข้าใจตามความเป็นจริงนะ เห็น รู้ยอมรับความจริงว่าจิตนี้เกิดตายเกิดตายอย่างไร มันจะไม่ยอมอุ่นใจ

แต่เดิมทำด้วยความอุ่นใจ ความนอนใจ นอนใจนะ เพราะมันไม่เห็นจริง เหมือนกับไฟ ถ้าไฟมันเผาเรา เราจะร้อนมาก แต่เราเห็นว่าไฟเผาคนอื่น ไฟเผาคนอื่น ไฟอยู่ข้างนอก มันไม่ถึงตัวเรามันก็ไม่สะเทือนเรา ถ้าไฟถึงเราเมื่อไรมันสะเทือนเรา

ถ้าจิตมันถึงที่สุด ควรที่จะถึงที่สุด มันเห็นโทษแล้ว มันเหมือนกับไฟสะเทือนเรา ไฟนี้เผาเรา รู้อยู่ว่าเกิดนี้มันต้องตายแน่นอน มันพยายามจะขวนขวาย ขวนขวายสิ่งที่สูงขึ้นไป ความละเอียดอ่อนสูงขึ้นไป กิเลสมันจะตามไปนะ ตามไปในท่ามกลางประพฤติปฏิบัติ เราต้องสร้างความสงบของเราขึ้นมา สร้างฐานของใจขึ้นไปเรื่อย ต่อสู้ขึ้นไปเรื่อย ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันละเอียดเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป

ความละเอียดอ่อน ละเอียดอ่อนจากภายใน จากภายนอกก็เป็นความละเอียดอ่อน ความละเอียดอ่อนจากภายใน กิเลสภายในมันละเอียดเข้าไปเป็นชั้นๆ นะ กิเลสมันละเอียดลออเข้าไปเรื่อย มันหลอกให้เราหลงใหลไปในตัวมันเข้าไปตลอด

ถ้าเราทำขึ้นไป เราพยายามต่อสู้ของเรา พยายามต่อสู้ พยายามต่อสู้นี้เป็นสติสัมปชัญญะ ถ้าเราทำเหลวตามแต่เราสักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าทำไป สักแต่ว่าก็ก้าวตามไป ตามไปคิดว่าอันนั้นเป็นความเพียรแล้ว ความเพียรเป็นความเพียร ถ้ามีสติมีสัมปชัญญะมันก็เป็นความเพียร ถ้าความเพียรไม่มีสติสัมปชัญญะ มันสักแต่ว่าทำ

คำว่า “สักแต่ว่า” ดูสิ สักแต่ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร สักแต่ว่ามันก็ใช้ผลสักแต่ว่า นี่มันละเอียดอ่อนขึ้นมา เพราะว่าอะไร เพราะจิตเวลามันเข้าไปถึงสัญญาอารมณ์ ความสงบเข้าไป มันว่าอันนี้เป็นผล อันนี้เป็นผล เป็นผล แล้วก็เคลิ้มไปกับสิ่งนั้น เคลิ้มไปกับความเห็นภายในที่กิเลสมันหลอก

ความว่างมีอยู่ ความว่างโดยพื้นฐานของใจก็มีอยู่ ความว่างในสัญญาอารมณ์ก็มีอยู่ แต่มันไม่เป็นทุกขสัจสิ ถ้าเจอทุกขสัจภายในมันจะจับต้องได้เป็นงาน...

...ความว่าง ว่างโดยใครว่าผิด ขณะที่เข้าใจอยู่มันว่ามันถูก แต่ขณะที่ปฏิบัติไปมันผิดตรงไหน? ผิดที่ว่ามันอยู่แค่นั้น พอมันอยู่แค่นั้น อารมณ์มันกระเทือน เวลาออกมากระทบกับสิ่งภายนอก รูป รส กลิ่น เสียงมันกวนใจตลอด มันกระทบกระเทือนถึงใจ ถ้าเราออกมา หมายถึงว่า เวลาจิตมันกระทบกับรูป รส กลิ่น เสียงภายนอก ทำไมมีอารมณ์ตามไปกับเขา ทำไมมีอารมณ์ไปกับเขา มีความรู้สึกไปกับเขา สร้างคลื่นใหม่ขึ้นมา คลื่นที่ว่าหายๆ ไปแล้ว ทำไมมันมีมา

คลื่นมันเป็นชั้นเป็นตอน คลื่นลมแรงจากวันนี้ก็ผ่านไป จากวันต่อไปมันก็เกิดขึ้นมา ความเกิดขึ้นมามันกวนใจ ถ้าความกวนใจขึ้นมา ใจมันมีอารมณ์ขึ้นมานี่มันสามารถจะค้นจับคลื่นนั้นได้ ค้นจับคลื่นคือว่าต้องพยายามดู จับต้องได้ น้ำ มันจะเป็นคลื่นขึ้นมา มันขึ้นมาจากน้ำนั้น

มันเหมือนกันในการค้นคว้า ขันธ์นอก ขันธ์ใน มันสาวถึงกันได้ การสาวถึงกันอันนั้นมันเป็นงานขึ้นมา พอเป็นงานขึ้นมา มันก็เป็นไป ความที่เป็นไปจากหัวใจ หมุนไป หมุนไป หมุนไป หมุนไปในการแยกแยะนะ ในการแยกแยะ ในการค้นคว้า

เพ่ง ถ้าเป็นธาตุ เพ่งเป็นธาตุ ธาตุมันเป็นสักแต่ว่าธาตุ ธาตุนี้ต้องกลับไปเป็นธาตุเดิม ดินต้องเป็นดิน น้ำต้องเป็นน้ำ ลมต้องเป็นลม ไฟต้องเป็นไฟ กลับเป็นธาตุเดิมของเขา ธาตุมันต้องแปรสภาพไป ด้วยสัมมาสมาธิ ด้วยความเห็นจริง ด้วยความเห็นในกายนั้น ในกายที่ติดข้องกันอยู่นี้ เพราะกายนี้มันก็เป็นเหมือนชายฝั่ง เป็นตัวฝั่งที่ว่าให้คลื่นเข้ากระทบถึงฝั่งนั้น

ความรู้สึกก็เหมือนกัน ความรู้สึกกายกับใจมันจะให้ผล เพราะอย่างถ้าร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย มันก็สะเทือนถึงหัวใจ นี้ซัดจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซัดจากกายนี้เข้าไปหาหัวใจ ซัดจากหัวใจออกไปหากาย กายเจ็บ กายพิการ มันก็ทำความทุกข์ร้อนให้หัวใจ หัวใจอยู่ด้วยความโดนมารปั่นป่วน มันก็ต้องมีความคิดออกมากระเทือนถึงหัวใจ ความเครียด เช่น เราเครียดเรามันก็สะเทือนถึงกาย ความสะเทือนถึงกาย นี่คลื่นมันซัดไปซัดมาอยู่

ฉะนั้นพิจารณาตรงไหนก็ได้ กาย เวทนา จิต ธรรมพิจารณาตรงไหนก็ได้ จับต้องให้ได้สัจจะความจริง แล้วพิจารณาคลื่นมาเป็นชั้นๆ เข้าไป วิปัสสนาสิ มันจะแปรสภาพถ้าแรงพอนะ แรงของสมาธิพอ งานนั้นพอจับต้องกายนี้ไว้ได้ พิจารณาดู มันตั้งได้แล้ว ตั้งภาพนั้นได้คือการเห็นกายโดยความเป็นจริงจากตาธรรม เห็นกายจากตาธรรม วิปัสสนาไป จากกายนี้จะกลับเป็นธาตุเดิมของเขา มันจะรวมลงเข้าไป เหมือนกับสิ่งที่ว่าเป็นเนื้ออยู่ มันจะแปรสภาพกลับไป ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ออกไป

ความที่แปรสภาพออกไป ออกไปตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงของเขา สิ่งที่เป็นจริงอยู่มันจะเป็นจริงได้ต่อเมื่อเราเจอทุกขสัจ ถ้าเราเจอทุกขสัจคือว่าเราเห็นกายนี้ตามความเป็นจริง

แล้วใช้พลังงานคือว่าหัวใจวิปัสสนาด้วยมรรค มรรคตัวนี้เข้าไปทำลาย เข้าไปแยกแยะให้กายนั้นแปรสภาพตามความเป็นจริง สิ่งที่เป็นจริงเพราะเป็นอำนาจของธรรม อำนาจของหัวใจที่เป็นธรรม เห็นไหม ธรรมอย่างหยาบ ธรรมอย่างกลาง ธรรมอย่างละเอียด เหมือนกัน สมาธิอย่างกลาง อย่างหยาบ อย่างละเอียด ทุกข์ก็มีอย่างกลาง อย่างหยาบ อย่างละเอียด

จิตที่มันวิปัสสนาไป มันวิปัสสนาไป พลังงานของธรรมจักรมันเคลื่อนที่ เคลื่อนที่น่ะมันแปรสภาพได้ ความที่ว่าเป็นจริง “จริงตามธรรม” สิ่งที่เป็นธรรมนี้เป็นเรื่องจริง สิ่งที่ว่าพญามารอยู่ในหัวใจนี้เป็นสมมุติสัจจะ ฟังสิ สมมุติสัจจะมันหลอกมันล่อไปตลอด แล้วเข้าใจตามความสมมุติสัจจะ

พญามารนี้กับสมมุติสัจจะนี้มันฝังอยู่ที่ใจ เข้าใจว่ากายนี้เวลาทุกข์ไข้ ไปหาหมอ หมอรักษาไป หรือว่าคนเราอยู่โดยปกติ เวลาตายไป มันต้องแปรสภาพโดยธรรมชาติของมัน อันนั้นเป็นสมมุติสัจจะที่ว่ามันต้องเป็นโดยธรรมชาติที่ว่ามันเป็น ธรรมชาตินี้รู้อยู่ รู้โดยคลื่น ไม่ได้รู้โดยธรรม คลื่นนั้นมันเป็นสมมุติที่มันซัดเข้าไปแล้วมันก็หายไปหายไป นี่สมมุติสัจจะมันเป็นอยู่อย่างนั้น ถึงไม่จริง

แต่ความเป็นจริงของธรรม ธรรมที่เป็นจริงอยู่ ธรรมที่วิปัสสนาอยู่ สิ่งที่ยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาหมายถึงเราสร้างขึ้นมา ธรรมจะไม่เกิดขึ้นเอง สิ่งที่ว่าเกิดขึ้นในหัวใจ ทุกข์นี่เกิดขึ้นเอง เพราะทุกข์ เวลามารอยู่ในหัวใจมันหมุนไปโดยธรรมชาติ เพราะคลื่นนี้มันต้องเกิดขึ้น มันทรงคลื่นอยู่ตลอดเวลา พอมันหายไปแล้ว มันทิ้งทุกข์เอาไว้ ทิ้งความตกผลึก สิ่งที่ว่าเป็นทุกข์ไว้ในหัวใจของเรา ทุกข์นี้พญามารถึงสร้างแต่ความเร่าร้อนให้ใจ แล้วทิ้งไว้ในหัวใจของเรา

แต่ธรรมนี่เราจะสร้างขึ้นมาอย่างไร ดูสิ การประพฤติปฏิบัติ เราสร้างขึ้นมาแสนยาก การสร้างขึ้นมานี่เราสร้างขึ้นมาแสนยาก สร้างที่ว่าสร้างสมาธิขึ้นมาก่อน สร้างสมถะขึ้นมาก่อน แล้วพยายามเอาสมาธิ สมถกรรมฐานนี้พยายามยกขึ้น

ความยกขึ้นด้วยงานชอบ ชอบในอะไร? ชอบในการเพ่งเข้าไปตรงนั้น ในการดูให้เห็นกายที่ว่าจะแยกเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ยกขึ้นมา ยกขึ้นมานี้ตรงนั้นเป็นทุกขสัจที่ว่าสิ่งที่จะสาวเข้าไปหาเหตุนั้น เหตุคือสมุทัยอีกเหมือนกัน สมุทัยคือตัวนี้ ตัวสมมุติสัจจะ สมุทัยคือว่ามันพอใจจะคิดของมันโดยธรรมชาติ

อยากเป็นหรือไม่อยากเป็น ตัณหา-ภวตัณหา-วิภวตัณหา คำว่า “ตัณหา” มันอยากให้เป็นไปในความเห็นของพญามารไง พญามารมันก็ตั้งเรื่องของมันขึ้นมา สิ่งนั้นควรเป็นอย่างนั้น ควรเป็นอย่างนี้ตามแต่ความพอใจ นี่คือตัณหาความทะยานอยาก

“อยาก” อยากให้เป็นอยู่กับเราตลอดไป ร่างกายกับชีวิตนี้อยู่ตลอดไป

“อยาก” อยากในสิ่งที่ดีว่าเป็นคุณงามความดีที่มันเข้าใจว่าเป็นคุณงามความดี

แต่ “ไม่อยาก” ไม่อยากในการทำลายความยึดมั่นถือมั่น

ความยึดมั่นถือมั่น เห็นไหม สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นให้เกิดคลื่นอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งที่มันพยายามหมุนไปเป็นสมมุติสัจจะอยู่ตลอดเวลา ถึงว่าไม่เป็นความจริง สิ่งที่เป็นความจริงเราสร้างธรรมขึ้นมา ธรรมนี้ต้องสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วต้องสร้างให้ถูกทางด้วย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอยู่แล้วว่า “ทางนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้บอก คนเดินถึงก็มี คนเดินไปครึ่งทางก็มี คนเดินแล้วไม่ถึงเลยก็มี” เพราะว่าทำแล้วไม่เข้าตามธรรมจักร ภาวนามยปัญญามันไม่เกิด สิ่งที่ภาวนามยปัญญาไม่เกิดเพราะ เพราะทุกขสัจเราจับต้องโดยทุกขสัจ สาวไปหาเหตุโดยไม่ชัดเจน ความที่ไม่ชัดเจน มันเป็นสัญญาอารมณ์ไปตลอด

สิ่งที่ล่อลวง สิ่งที่ผิดพลาดอยู่ในวงปฏิบัติที่ว่าเข้าถึง ยกวุฒิภาวะของใจขึ้นสูงไม่ได้ก็เพราะพญามารมันขัดขวางอยู่ตลอดเวลา มันไม่จริงตรงนี้ไง สิ่งที่ไม่จริง ๑. มารไม่จริงอยู่แล้ว แล้วเราก้าวเดินไปก้าวเดินไป ความไม่ถูกทางมันก็ไม่จริงอีก

ถ้าเราก้าวเดินไปถูกทาง ถูกทางต้องถูกทางในอริยสัจนั้น ถึงเจอทุกข์นั้นจริง สาวหาทุกข์นั้นได้จริง แล้วค้นคว้าจริง ค้นคว้าพยายามให้เห็นกายนี้จริง ความเห็นกายนั้นจริง มันจริงโดยพลังของธรรม มันแยกออก แยกกายนี้แปรสภาพกลับคืนเป็นธาตุ ๔ อย่างเดิม กลับคืนไปอย่างเดิมด้วยธรรมที่แยกออกนะ แยกขนาดนั้นมันเป็นได้ มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ แต่มหัศจรรย์ในธรรมนะ

ถ้าเป็นเรื่องกิเลสไม่มหัศจรรย์เลย มันเป็นเรื่องของสมมุติโดยธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ถ้าเราใช้ชีวิตแบบโดยสมมุติไป มันก็ใช้ชีวิตชาติหนึ่งชาติหนึ่ง ชาติที่ให้มันพ้นไปโดยธรรมชาติของมัน โดยที่ว่าเราไม่ได้ปลูกดอกบัว

เขาปลูกดอกบัวในโคลนในตม ดอกบัวนั้นเกิดจากโคลนจากตมขึ้นมาเป็นดอกบัวที่พ้นจากน้ำ หัวใจอยู่ในร่างกาย ร่างกายชีวิตนี้มันต้องแตกดับไปโดยธรรมดา แล้วถ้าวิปัสสนา วิปัสสนาหมายถึงว่าเราเจอทุกขสัจแล้วเราพยายามปลูกดอกบัว พยายามทำหัวใจของเราให้พ้นออกมาจากสิ่งที่ต้องแปรสภาพ

ร่างกายก็ต้องตายไปโดยธรรมดา ต้องแตกสลายไปโดยธรรมดา หัวใจนี้ต้องไปเกิดใหม่ทุกข์ยากต่อไปเป็นธรรมดา ถึงจะมีธรรมรู้ทุกขสัจมาแล้วชั้นหนึ่งก็แล้วแต่ ยังต้องไปเกิดอีก เกิดอีกอย่างมากอีก ๗ ชาติ ยังต้องไปเกิดอีก

แต่ถ้าแยกออก แยกเห็นธาตุ ๔ ถ้าเป็นธาตุ ธาตุ ๔ นี้กลับเข้าไปหาธาตุเดิม ความจริงที่เห็นนั้นน่ะ มันสลดสังเวช มันปล่อยจริงๆ ความปล่อยจริงๆ เห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตมนั้น ดอกบัวคือหัวใจ หัวใจมันเบ่งบานขึ้นมาจากธาตุ ๔ สิ่งที่ว่าเป็นโสโครกอยู่นั้น ถ้ามันอยู่แล้วมันต้องแปรสภาพตาม เป็นเรื่องจริง เรื่องสัจจะของเขาโดยสมมุติ

แต่อันนี้มันเป็นสัจจะโดยธรรม มันแปรสภาพให้เห็นจริงก่อนที่มันจะตาย มันจริงเพราะธรรม ธรรมนี้ทำให้จริง สอนหัวใจดวงนั้นให้เห็นจริง เห็นจริงมันก็รู้แจ้ง รู้แจ้งดอกบัวก็บาน ดอกบัวนี้เริ่มแย้มบาน ยิ่งโดนแสงแดด แสงแดดมาถึงดอกบัวนั้น ดอกบัวนั้นต้องบานออก หัวใจนี้ก็ต้องบานออก ทิ้งกายกับใจออกจากกันนะ นี่พ้นออกมาจาก...ถ้าเราทำ

เราพยายามทำแล้วค้นคว้าของเรานะ ธรรมนี้เกิดขึ้นเข้ามา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจัตตังเพราะเรารู้จริง เห็นจริง รู้ด้วย เห็นด้วย แล้วปล่อยวางด้วย แล้วใจรู้ว่ารู้อีกต่างหาก นี่มันประเสริฐขึ้นมาเป็นชั้นๆ ขึ้นไป นี่รู้ทุกขสัจ ทุกขสัจเป็นความจริง เราเข้าเผชิญหน้ากับทุกขสัจ ทุกข์มันเป็นความจริงอยู่แล้ว เป็นทุกข์ในหัวใจที่แนบมากับชีวิตของเรา

แต่เราไปเจอทุกข์แต่ข้างนอกเล็กๆ น้อยๆ ทุกข์ที่จรมา สิ่งที่ทุกข์ที่จรมา แล้วมันก็ทำให้ชีวิตเราอ่อนแอมาตลอด แต่พอเราปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติขึ้นมาเจอสัจจะความจริง แล้วเราผ่านเข้ามาเป็นชั้นๆ เข้ามา มันจะเห็นทุกข์อันที่ว่าเป็นอริยสัจ พอใจที่จะทุกข์ สิ่งที่พอใจที่จะทุกข์ มันก็จะทุ่มเทเข้าไปทั้งหมดไง

งานใดๆ ในโลกนี้ปล่อยวางไว้ไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว มันเป็นเรื่องของผู้ที่สนใจเรื่องของโลกเขาที่เขาจะข้องอยู่ในโลก งานของที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ พ้นออกจากทุกข์ เห็นทุกขสัจจริงแล้วต่อสู้กับทุกขสัจจริง มันจะย้อนกลับเข้าไป มันจะพยายามทำเข้าไป ทำเข้าไปขนาดไหน

“คลื่น” มันเป็นคลื่นที่เราเห็นด้วยตา แต่ขณะที่ว่าคลื่นใต้น้ำ เราคิดว่าไม่มีคลื่นไง จิตแท้ๆ ที่มันพ้นมันสละกายออกมา ดอกบัวที่บานแล้ว บานออกมาพ้นออกจากโคลนจากตมขึ้นมาเป็นชั้นหนึ่งชั้นหนึ่ง เราเข้าใจว่าสิ่งนี้พ้นออกไปแล้ว

แต่สิ่งที่ว่ามันเป็นข้องอยู่ที่ใจที่ว่าละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป สิ่งที่ทุกข์ที่ละเอียดในหัวใจมันต้องรื้อค้นเข้าไป สิ่งที่รื้อค้น คลื่นใต้น้ำกับคลื่นบนน้ำ สิ่งที่เป็นคลื่นใต้น้ำนี้หาได้ยากมาก ความค้นคว้าหาคลื่นใต้น้ำ หาทุกขสัจอีกชั้นหนึ่งไง หาทุกข์เป็นของจริงอีกชั้นหนึ่งหาอย่างไร หาไม่เจอมันก็วนเวียนอยู่ในน้ำนั้นนะ หมุนวนอยู่ในน้ำนั้น

การประพฤติปฏิบัติมันจะหมุนวนไป หมุนวนไป ความหมุนวนไปนะจับพลัดจับผลู ความเสียเวล่ำเวลาของเรา ของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะเสียเวลา เพราะการรื้อค้น การรื้อค้นทุกขสัจนี้ถึงว่าเป็นเรื่องสำคัญ การรื้อค้น การพบทุกขสัจก็เป็นการพบงาน ถ้าไม่เห็นทุกขสัจมันจะเห็นงานมาจากไหน

ทุกข์อย่างสมมุตินี้ไม่เป็นงาน ทุกข์อย่างสมมุตินี้ ทุกข์สมมุตินี้เพียงแต่ให้เราทุกข์ร้อนไปกับหัวใจเท่านั้น ทุกหัวใจ คนเราฟังข่าวมา ฟังสิ่งที่เขาทุกข์อกทุกข์ใจมา มีคนมาปลอบประโลมว่าสิ่งนั้นเป็นความเข้าใจผิด มันมีเหตุผลอย่างอื่นที่เหนือกว่า เราก็ทิ้งได้ แม้แต่คนบอกเหตุผลเราให้เราเข้าใจ เรายังพ้นจากความกังวลได้ ทุกข์ข้างนอกนี้คนอื่นยังแก้ไขได้

แต่ทุกข์ข้างในนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าแก้ไขได้ ค้นได้หมดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแก้ไขไม่ได้เพราะ เพราะมันเป็นทุกข์ในหัวใจ มันเป็นทุกเนื้อของใจ

ฉะนั้นเนื้อของใจต้องใช้เนื้อของใจนั้นแก้ไข “เนื้อของใจ” เราทำสัมมาสมาธิขึ้นมา ก็เกิดขึ้นมาจากใจ ทำสัมมาสมาธิขึ้นมา สิ่งที่เป็นสมาธิขึ้นมา ควรที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ในเรา รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจนั่น รื้อค้นเข้าไป ความที่รื้อค้นเข้ามามันมีความสงบพอแล้ว รื้อค้นเข้าไป หาคลื่นใต้น้ำให้เจอ

คลื่นใต้น้ำมันพัดอยู่ใต้น้ำ สิ่งที่พัดอยู่ใต้น้ำมันก็ต้องทำสิ่งให้แปรปรวนไป มันให้พลังงานขึ้นมาเกือบถึงหัวใจ แต่มันละเอียด สิ่งที่เวลาทุกข์ละเอียด ทุกข์ละเอียดคลื่นใต้น้ำ เราเห็นแต่คลื่นบนน้ำนี้ทำลายสิ่งของ ทำลายพัดให้ตลิ่งพังไป คลื่นใต้น้ำเราไม่เห็น คลื่นใต้น้ำมันก็ซัดอยู่ข้างล่าง แล้วมันจะให้ผลรุนแรงกว่าด้วย

นี้ก็เหมือนกัน ในหัวใจที่มีคลื่นใต้น้ำอยู่ ถ้าไม่เจอนะ ถ้าไม่เจอทุกขสัจ มันจะเหมือนกับว่างหมด มีความสบายอยู่ในหัวใจหมด แล้วจะติดในสมาธิอย่างนี้ จะติดอยู่ในความว่างอย่างนั้น เห็นแต่ความราบเรียบอยู่บนน้ำ แล้วก็ถือว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าถูกต้อง สิ่งที่ว่าดอกบัวบานแล้ว แต่ดอกบัวบานแล้ว สิ่งที่จมอยู่ใต้น้ำ สิ่งที่จมอยู่ใต้น้ำมันก็แกว่งอยู่ใต้น้ำนั้น เชื้อมันยังมีอยู่ พอเชื้อยังมีอยู่มันก็ยังต้องเกิดอยู่

สิ่งที่ต้องเกิด เกิด เกิดดีขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมเกิดตามวัฏฏะ เกิดหมุนเวียนไปในวัฏฏะนั้น ไม่มีรากบัวหยั่งดึงไว้กับโคลนตม แต่ขณะนี้รากบัวหยั่งดึงไว้กับโคลนตม ความยาวของรากบัวนั้น ก็ถึงว่า ความยาวของรากบัวก็ยืนยันว่าวัฏวนได้อีกแค่ไหน วัฏวนได้แค่นั้นเอง แค่สั้นๆ ของรากบัวนั้น แต่เราไม่สามารถค้นหาได้ เราก็ยังต้องเกิดอยู่เหมือนกัน เกิดสั้นๆ ก็ต้องเกิด

ถ้าเกิดก็มีทุกข์ ถ้าจิตนี้ยังเกิดอยู่ ชาติปิ ทุกฺขา ชาติการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง สิ่งที่พาเกิดนั้นเอาทุกข์มาพร้อม ถ้าเอาทุกข์มาพร้อม เราก็ต้องพยายามค้นคว้าหาทุกขสัจนั้นให้เจอ รื้อค้นพยายามหันเข้ามา หันเข้ามา รากบัวมันมีอยู่ น้ำพัดมันก็โดน แต่เราไม่มีความสังเกตเท่านั้นเอง

ความสังเกต ความค้นคว้าของเรา ละเอียดอ่อนเข้ามา ละเอียดอ่อนเข้ามา หาครูหาอาจารย์ก็ได้ ครูบาอาจารย์จะชี้เข้ามา เคาะไง เคาะให้เราได้สำนึก ถ้าเราได้สำนึก เราจะย้อนกลับมาที่คลื่นใต้น้ำ ถ้าเราไม่สำนึก มันจะส่งออกไปหมด ความส่งออกไปมันถึงไม่เห็น สิ่งที่ไม่เห็นทุกขสัจเพราะว่าพญามารมันไสให้เราพุ่งออกไปข้างนอก ถ้าเราย้อนกลับเข้ามา จิตนี้สงบเข้ามาแล้วย้อนกลับเข้ามาภายใน สิ่งที่ย้อนกลับเข้ามาในหัวใจ เพราะงานนี้มันอยู่ที่ใจใช่ไหม

ใจนี้พาเกิดพาตาย จิตปฏิสนธิอยู่ที่หัวใจนี้ หัวใจนี้ วิญญาณในใจนี้ ปฏิสนธินี้พาเข้าไปจุติในที่ไหน จุติในสวรรค์ก็เป็นเทวดา จุติในพรหมเหรอ เกิดในโอปปาติกะ เกิดในครรภ์ยังเกิด เกิดอยู่เกิดอยู่ นี้ยังพาเกิดอยู่ จิตนี้พาตายพาเกิด สิ่งที่เกิดนี้ ชาติปิ ทุกฺขา ชาติการเกิดชาติหนึ่ง ทุกข์พร้อมกับใช้ชีวิตนั้นชีวิตหนึ่ง ถ้าทำลายต้องทำลายตรงนั้น นี่ย้อนกลับมาดูที่ใจมันต้องเจอ

ขันธ์ของใจละเอียดอ่อนมาก ขันธ์ข้างนอก ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มันแยกออกไปแล้วกายนอก กายในกาย ถ้ากายในกายนี้เป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะมันอยู่ตรงนี้ ข้างนอกว่าเราพิจารณากายว่าเป็นอสุภะๆ...ยังไม่ใช่ กายนอกแตกสลายไปโดยธรรมดา พิจารณาแล้วจะแตกสลายแปรสภาพโดยธรรมดา แล้วปล่อยตัวตนเข้ามา กายเข้ามาข้างในเป็นกายที่ว่าแตกออกมาเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นเป็นกายนอก

แต่ถ้ากายนี้ อสุภะของใจ ใจนี้มันเป็นกายขึ้นมาได้ กายขึ้นมาเพราะเราพิจารณากาย มันสะเทือนถึงกาย จับกายนี้เป็นอสุภะ ถ้าจับจิต ถ้าพิจารณาขันธ์ ขันธ์นี้เป็นขันธ์นอก-ขันธ์ใน-ขันธ์ในขันธ์ ขันธ์นี้เป็นขันธ์ที่ติดอยู่กับจิต ถ้าจับตรงนี้ได้ จับได้งานเกิดขึ้น จับได้ก็ได้ทุกขสัจ

สิ่งนี้เป็นที่รวมแห่งทุกข์ สิ่งนี้ทำให้ทุกข์เกิดขึ้น นี่พิจารณาวนเข้ามา ความละเอียดอ่อน ความละเอียดอ่อน ความรอบคอบ ความนิ่มนวล จิตนี้ ความต่อสู้กัน ต่อสู้กับข้างนอกหยาบ สิ่งที่หยาบเขาสู้กันด้วยวัตถุ สิ่งที่เขาสู้กันด้วยปัญญา สู้กันด้วยนามธรรม สิ่งที่สู้ด้วยนามธรรมอยู่ภายในหัวใจ เขาจะพยายามพาหัวใจดวงนี้หลบหลีก หลบหลีกกับธรรมจักร จักรที่เป็นธรรม ที่จะเข้าไปประหารนะ สมุจเฉทปหานจากหัวใจดวงนั้น

จากสิ่งที่ละเอียดอ่อน สิ่งที่เป็นปัญญาอย่างนั้น ปัญญาอย่างละเอียดที่ว่ามันหลอก หลอกใจดวงนี้ ใจดวงนี้โดนหลอกอยู่นะ โดนหลอกอยู่ตลอดเวลา หลอกอยู่โดยสมมุติสัจจะ ที่มันคุมอยู่ในใจดวงนั้น

วิปัสสนา วิปัสสนาจะเกิดขึ้นเพราะเราจับต้องได้ ความจับต้องได้เป็นทุกขสัจ พอทุกขสัจจับต้องได้ก็แยกแยะออก ความแยกแยะออก การต่อสู้นี้เกิดขึ้น พลังงานมีเท่าไรต้องทุ่มเข้าไป เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากหัวใจของเรา

ดูเวลาสมาธิเกิดขึ้นสิ ความอิ่มเอิบของใจ ใจนี้ตั้งมั่น มีความสุขมาก แล้วเหมือนกับมันจะทำอะไรก็ได้นะ เพ่งอะไรก็ขาด ขาดไปหมดนะถ้ามันเพ่งถูก มันทำได้เพราะมันมีพลังงานขึ้นมา เพราะเราสะสมขึ้นมา สะสมขึ้นมา แล้วใจนี้มหัศจรรย์มาก สิ่งที่เร็วที่สุดคือใจ

แล้วพอใจจับให้สงบได้ จับสิ่งที่เร็ว สิ่งที่เคลื่อนตัวได้เร็วให้มันนิ่งอยู่ได้ ความนิ่งอยู่ได้ แล้วพลังงานมันเพิ่มขึ้นเพราะว่าความนิ่งอยู่นาน สมาธิที่ว่าเข้าไปถึงสมาธิที่ลึกๆ เข้าไปแล้วถอนออกมา พลังงานมันจะเกิดขึ้นมาก พอเกิดขึ้นมาก จะเพ่งตรงไหนนี่ขาด ขาดเลย อสุภะก็เป็นอสุภะไปหมด แปรสภาพเป็นอสุภะเน่าเปื่อยไปหมดเลย แล้วมันขยะแขยง ขยะแขยง ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา

พิจารณาขันธ์ก็เหมือนกัน พิจารณาขันธ์ เห็นไหม ในทุกขสัจ ทุกข์นี้มันเป็นอย่างนี้ ทุกข์นี้มันทำให้เราเจ็บแสบอยู่ แต่ทำไมเมื่อก่อนทำไมมองไม่เห็น ทำไมที่เห็นๆ เพราะอะไร มันละเอียด ละเอียดเพราะมันเป็นเวทนา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันอยู่ลึกๆ กับหัวใจ ตรงนี้มันอยู่ที่ว่ามันเป็นคลังข้อมูลของขันธ์เลย ขันธ์มันจะอยู่ตรงนั้น

แล้วเวลาเข้าไป เวทนาอันละเอียดอ่อนนี้จะหลบไปหลบมา ถ้าจิตเข้าไปจับได้ เอ๊ะ! ไหนว่าเป็นความสุข เวทนามันมีอยู่ที่ใจนี่นะ เวทนาข้างนอกเป็นเวทนาข้างนอก เมื่อก่อนเราเข้าใจว่าเวทนาขาดแล้วจะขาดเลย แต่เวทนามันยังละเอียดเข้ามาเป็นชั้นๆ เข้ามา พอมันเห็นอย่างนั้น ถ้าเวทนาอย่างนี้ มันก็ต้องเหมือนเวทนาข้างนอกสิ เวทนาข้างนอกเรายังสลัดทิ้งมาแล้ว แล้วเวทนา เวทนาหมายถึงสุข ถึงทุกข์ เวทนาสุข ทุกข์และเฉยๆ

ความให้ค่าของใจ ใจที่มันให้ค่า คลื่นใต้น้ำนะมันให้ผลเป็นบวกเป็นลบก็ได้ เราใช้ให้เป็นทางบวก สัตว์ที่อยู่ใต้น้ำมีคลื่นใต้น้ำพาไป สิ่งที่มีชีวิตเกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นห่วงโซ่ของอาหาร มันให้เกิดธรรมชาติ เกิดชีวิตใหม่ เกิดความเป็นไปในนั้น

ความทำลายของมันล่ะ ถ้ามันทำลายของมันนะ มันพัดทำลายอย่างอื่นก็ได้ เห็นไหม เวทนายังมีสุขและทุกข์ในหัวใจนั้น ในสิ่งที่เป็นเวทนาที่ฝังอยู่ที่ใจ วิปัสสนาเข้าไป ถ้ามันให้ค่าขึ้นมา มันเป็นบวก มันเป็นบวกมันก็เป็นประโยชน์ ถ้ามันให้ผลเป็นลบล่ะ

ถ้าเป็นบวกขึ้นมา แล้วถ้าเกิดมีสมาธิขึ้นมาล่ะ เกิดมีสมาธิขึ้นมา แยกให้เป็นธรรมขึ้นมาล่ะ มันแยกเข้าไปแล้วมันเห็นโทษของมัน มันสลัดเองนะ เพราะจิตนี้เข้าใจอยู่แล้วว่าสิ่งนี้เป็นโทษ แต่จิตนี้ไม่เห็น สิ่งที่วิปัสสนานี้เราไม่เห็นไง ขณะที่วิปัสสนาอยู่นี้ เราด้วยนะ ไม่ใช่ว่าจิตนี้แยกออกจากวิปัสสนา จิตกับวิปัสสนามันหมุนไปพร้อมกัน เหมือนกับอยู่ในอริยสัจพร้อมกัน

แล้วมันเวลาสลัดออกสิ สิ่งที่สลัดออก วิปัสสนาขาดออกมาแล้ว จิตนี้ถึงได้หลุดออกมาจากอริยสัจ ขณะที่เป็นอริยสัจอยู่นี้ เราเข้าไปอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าจิตนี้จะยืนดูอยู่เฉยๆ จากข้างนอกเลย แต่สลัดออกมาแล้วจิตถึงจะเข้าใจตามความเป็นจริงเฉยๆ เพราะอวิชชา เพราะเชื้อนี้มันอยู่ที่จิตนั้น ต้องจิตนั้นฟอกไปด้วย ฟอกจิตนั้นไปด้วย ธรรมจักรเกิดขึ้นจากจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นสร้างธรรมจักรขึ้นมา แล้วเกิดขึ้นมาพร้อมกัน วิปัสสนาเข้าไป วิปัสสนาพร้อมกันไปเลย พร้อมกันไปเลย

มันถึงว่าขณะที่ทำอยู่ถึงไม่รู้ตัว สิ่งที่ทำอยู่นี้มันไม่รู้ตัว มันถึงไม่มีตนไม่มีตัว มันเคลื่อนไปโดยธรรมจักร สิ่งถ้ามีรู้ตัวรู้ตนอยู่ เราเข้าไปทำให้สิ่งนั้นมันไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทามันเป็นไปโดยธรรม ธรรมที่มีอยู่โดยดั้งเดิม แล้วธรรมที่เราสร้างขึ้นมานี้เป็นธรรมฝ่ายเหตุ ธรรมที่ฝ่ายเหตุนี้หมุนออกไป ความหมุนออกไปนั้นหมุนไปโดยธรรมอันนั้น มันเป็นมัชฌิมาปฏิปทาพอดี

สิ่งที่พอดี สมุจเฉทปหาน พอสมุจเฉทปหานขาดออกไป ขันธ์นี้ถึงได้ขาดออกไปจากใจ รากของดอกเหง้าบัวนั้นขาด ฟันขาด รากของรากเหง้าบัวก็ขาดออก ขาดออกหมด ขาดออกจากใจ ไม่มีสิ่งใด เวิ้งว้างหมดเลย ความเวิ้งว้าง เห็นไหม ทุกขสัจอย่างละเอียดสุดมันซ่อนอยู่ในความเวิ้งว้างนั้น ในความเวิ้งว้าง

น้ำที่ไม่มีสิ่งใดๆ เลย น้ำที่นิ่งอยู่ มันก็คือน้ำที่มีสสารอยู่ในน้ำนั้น น้ำนั้นยังมีคุณค่าในน้ำนั้น น้ำนั้นยังมีออกซิเจนอยู่ในน้ำนั้นที่อะไรเข้าไปอยู่ก็ยังอยู่ได้ใช่ไหม นี่ไม่มีคลื่นใดๆ เลย ตัวของใจนั้นคือตัวอวิชชา คลื่นโดนทำลายออกทั้งหมดแล้ว ความกระเพื่อมไปของขันธ์โดนทำลายออกไปหมด

จิตที่เสวยอารมณ์อยู่นี้เพราะมีขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี้กระเพื่อมเสวยขันธ์ ๕ ออกมา ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เวทนา ฟังคำว่า “เวทนา” คำว่าวิญญาณในขันธ์ ๕ สิ่งที่รับรู้นี้มันถึงกระเพื่อมออกเป็นคลื่นใต้น้ำ คลื่นบนน้ำกับคลื่นข้างนอกซัดเข้ามาเป็นชั้นๆ เข้าไป จนคลื่นนั้นหมด เพราะขันธ์นี้โดนตัดออกไปจากใจ ขันธ์ ๕ นี้ตัดออกไปหมดแล้ว กายอสุภะตัดออกไปหมด

ตอของจิต ตอของจิตคือจิตที่เป็นกาย กายเป็นตอเลย แล้วตอของจิตที่ว่าเป็นคลื่นเป็นน้ำโดยธรรมชาติ มันมีเชื้ออยู่ในน้ำนั้น ทุกขสัจที่ว่าตัว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้จับยากที่สุดเพราะมันเป็นตัวพญามาร สิ่งที่เป็นพญามารที่ควบคุมใจอยู่ แล้วหลอกลวงออกมาทั้งหมดนะ ตัวพลังงานเฉยๆ มันเป็นตัวพลังงานเฉยๆ อยู่ในน้ำนั้น

การจะค้นคว้าทุกขสัจอันประเสริฐ “ทุกขสัจ” ทุกขสัจที่ว่ามรรค ๔ ผล ๔ ทุกข์อันในนั้นนี่ละเอียดอ่อนมาก การค้นคว้าอันนี้ยิ่งยากใหญ่ ถึงการเห็นทุกขสัจนี้ถึงประเสริฐสุด ทุกขสัจนี้ถึงเป็นความจริง ถ้าจับทุกขสัจได้ เห็นทุกขสัจ จะสาวไปหาเหตุจนได้ อริยสัจอันละเอียดอ่อนอันนั้น มันละเอียดอ่อนด้วยญาณ ด้วยญาณ ใช้ปัญญาแล้วมันกระเพื่อม สิ่งที่กระเพื่อมนี้ อุทธัจจกุกกุจจะนี้เป็นความฟุ้งซ่านของในนิวรณธรรม

“อุทธัจจะ” มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานะ ตัวอุทธัจจะตัวนั้น จิตมันกระเพื่อมออกมา ถ้ามันจะกระเพื่อม มันกระเพื่อมออกมา เราต้องจับทุกขสัจที่ละเอียดตรงนั้น ความที่เห็นทุกขสัจอันละเอียดนี้ถึงว่าประเสริฐ ความประเสริฐอันนั้นจะพ้นได้ ความพ้นได้โดยที่ว่าไม่ให้มันกระเพื่อม สิ่งที่กระเพื่อมนี้มันจะเป็นปัญญา สิ่งที่ไม่ให้กระเพื่อม มันเป็นญาณละเอียด ความละเอียดของญาณเข้าไปจับทุกขสัจนั้น แล้วประหารทุกขสัจนั้นถึงสิ้นสุดของทุกขสัจ จบสิ้นกันในหัวใจดวงนั้น

ใจดวงนั้นตามทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตดวงที่ตามทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากเรา เราสร้างสมของเราขึ้นมา สร้างสมของเราแล้วเดินตามเดินตามขึ้นไป ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีนะ ไม่มีคนสั่งคนสอน ไม่มีตำรับตำรา ไม่มีคนชี้ทาง

เรานี้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีตำรับตำราชี้ทางให้ถึงที่สุดได้ ให้ถึงที่สุด เห็นไหม มันเป็นผู้ที่มีวาสนามาก มีวาสนาหมายถึงเขาทำทางทำถนนให้เราเดินโดยเฉพาะเลย แล้วเราทำไมไม่เดิน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีถนน ป่ารกชัฏทั้งหมดเลย ขวนขวายดันเข้าไป พยายามค้นคว้าออกมา แล้วเอาเป็นทางบุกเบิก เป็นทางให้เราได้เดิน ทางที่เราควรจะเดินตามเข้าไป แล้วเราพยายามทำของเราขึ้นมา จนใจดวงนั้นถึงทุกขสัจสูงสุดแล้ว ทำลายทุกขสัจนั้นออกจากใจ

คนที่ปรารถนาหาแต่ความสุข มันจะได้ความทุกข์ มันไม่ได้ความสุขสมใจเลย ผู้ที่ปฏิบัติค้นคว้าหาทุกขสัจแล้วพยายามต่อสู้ ต่อสู้ทำลายทุกขสัจ ทำลายได้จริงๆ ทุกข์นี้เกิดขึ้นจากหัวใจ หัวใจที่กระเพื่อมออกมานั้นรับรู้ออกมาทั้งหมด แล้วหัวใจนี้ สิ่งที่ว่าไม่มีสิ่งใดจะกระเพื่อมได้ สิ่งใดจะไปแต่งเติมสิ่งนั้น อิ่มพออยู่ตรงนั้น เห็นไหม ไม่มีทุกขสัจเข้าไปในหัวใจดวงนั้น

ผู้ที่พยายามค้นคว้าทุกขสัจ หาทุกข์ พยายามต่อสู้กับทุกข์ที่เขาบอกว่าทุกข์นิยม ทุกข์นิยมนี่แหละ แล้วทำไม มันเป็นสัจจะนิยม มันเป็นความจริงโดยสัจจะว่าทุกขสัจนี้มันเป็นความจริง แล้วเราทำลายทุกขสัจเป็นความจริง ทุกขสัจนี้พ้นออกไปจากใจ มันเป็นวิมุตติสุขล้วนๆ เลย ไม่ใช่สุขในเวทนา สุขสมมุติ

เวทนาเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป ในเวทนานี้เป็นสมมุติ สุขในสมมุติที่เราสุขกัน เราพยายามค้นหาความสุข หาโดยขนาดไหนก็ไม่ได้ แต่เราเข้าไปต่อสู้กับทุกข์ที่ว่ามันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ แล้วทำไมมันเกิดความสุขโดยวิมุตติสุขเกิดขึ้นจากใจดวงนั้นล่ะ

ให้เป็นพยานกับใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะเข้าถึงกับความจริงดวงนั้น

ถ้าเข้าถึงความจริงดวงนั้นมันก็เข้าถึง พอเข้าถึงความจริงดวงนั้น ตามทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่เกิดอีก ใจดวงนี้ไม่มีเชื้ออวิชชา สิ่งที่ไม่มีเชื้อ คนไม่เป็นไข้ทำไมต้องไปหาหมอ คนที่ต้องไปหาหมอเพราะเป็นไข้ เห็นไหม ตัวเองเป็นไข้ รักษาไข้ก็ไม่ได้ วิ่งไปหาหมอให้หมอรักษา นั่นเพราะมีเชื้ออยู่ในตัว

แต่คนที่ไม่เป็นไข้ ไม่เป็นอะไรเลย มีความสุขสบาย แล้วไม่ใช่เป็นธรรมดานะ ไม่เป็นไข้ด้วย แล้วรู้ด้วยว่าสิ่งที่จะเป็นไข้อยู่ข้างนอก สิ่งที่จะเป็นไข้อยู่ข้างนอกไง เพราะเข้าใจอยู่แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นเหยื่อของมาร เป็นสิ่งที่ทำใจให้กระเพื่อมไปกับสิ่งนั้น มันสลัดทิ้งตั้งแต่เราเข้าไปถึงหัวใจดวงนั้นแล้ว มันจะเข้ามาไม่ได้

เป็นความปกติไม่มีเชื้อด้วย เป็นความปกติที่ว่าเชื้อนั้นเข้าไปไม่ถึงด้วย นี่ใจอย่างนั้นมันเป็นสิ่งที่ควรปรารถนามาก ใจอย่างนั้นมันก็เป็นหัวใจที่ว่าเกิดตายเกิดตายมาก่อน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ สร้างสมบุญญาธิการมา เกิดทุกข์มาขนาดไหน ในทศชาติก็เกิดมา ทศชาตินั้นสร้างสมบารมีมาขนาดนั้นก็ปรารถนาเพื่อหัวใจดวงนั้น เพราะปรารถนาหัวใจที่ว่าเป็นพุทธภูมิ เป็นสยัมภู ตรัสรู้ด้วยตนเอง รื้อสัตว์ขนสัตว์

แต่สาวกะอย่างพวกเราเป็นผู้ที่ตามทันได้ ตามทันได้ สาวกะเป็นผู้ได้ยินได้ฟัง ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ผู้ที่ต้องมีคน เวไนยสัตว์ เวไนยสัตว์หมายถึงว่าผู้ที่สั่งสอนแล้วมีทางไปได้ เราเป็นเวไนยสัตว์ที่เราพอใจ เราพอใจเราถึงพยายามประพฤติปฏิบัติ มันเป็นธรรมวาสนาบารมีเข้ามาถึงหัวใจของเรา ให้หัวใจของเราเกิดธรรมขึ้นมา

“ธรรมฝ่ายเหตุ” ธรรมฝ่ายเหตุก็เข้าไปชำระเชื้ออวิชชาในหัวใจนั้น เป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป นี่ธรรมฝ่ายเหตุเราต้องสร้างขึ้นมา ธรรมฝ่ายเหตุนี้เพราะว่ามันสร้างขึ้นมาจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีเชื้อ เชื้อของโทษ สร้างเหตุขึ้นมาก็ทำลายใจดวงนั้น

ถึงว่า แต่ละดวงๆ ในหัวใจถึงต้องสร้างขึ้นเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถประทานให้ได้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่หลักวิชาการวิธีการนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้หมด วางไว้หมด แล้วเราก็ศึกษาเล่าเรียนมา เราศึกษาเล่าเรียนมา ๑ เราประพฤติปฏิบัติธรรม ๑ ธรรมเกิดขึ้นจากในหัวใจ

เวลาเหตุมันเกิดขึ้น จิตสงบขึ้นมา ความลังเลสงสัยในหัวใจจะตอบขึ้นมาในหัวใจนะ เวลาธรรมแตกๆ ธรรมในหัวใจเกิดขึ้นมา ความลังเลสงสัยในหัวใจบางอย่าง เราลังเลสงสัย มันเป็นเรื่องที่สุดวิสัย มันเหมือนกับแทบจะสุดวิสัยเวลาเจอกิเลส เวลาต่อสู้กับกิเลส มันลังเล มันมืดตื้อ มันอั้นตู้ไปหมดนะ แต่ถ้าเราสร้างทำความสงบขึ้นมานะ ธรรมจะเกิดขึ้นตรงนั้น

ต้องทำอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นกิเลส ต้องเจาะให้ทะลุออกไป นี่เวลาธรรมเกิด

เราสร้างเหตุของธรรมขึ้นมา แล้วอำนาจวาสนาบารมีฝ่ายธรรมที่เราสะสมมาจะเกิดขึ้นในเวลาที่เราประพฤติปฏิบัติไป นี่ธรรมเกิด เกิดคือบอกวิธีการ บอกให้เราแยกแยะออกไป พยายามจะขวนขวายออกทางไหน จะไปทางซ้ายไปทางขวา จะทำอย่างไรให้เราผ่านทะลุสิ่งที่ว่าอวิชชาต่อสู้อยู่ข้างหน้านี้เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

“ธรรม” เวลาธรรมเกิดขึ้นมา ธรรมของเราที่สร้างฝ่ายเหตุด้วย ธรรมจากที่เราสะสมมา ตายเกิดตายเกิดมา จนเป็นมนุษย์ที่ว่ามาประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ด้วย ธรรมอันนั้นจะออกมาช่วย เวลากิเลสมันเกิด เราก็ทุกข์ยาก ทุกข์ยากมาก แต่เวลาธรรมมันเกิด ถ้าธรรมจะเกิด เราต้องจุดประกาย สิ่งที่เราจุดประกาย เราพยายามทำขึ้นมา เราสร้างเหตุขึ้นมา สร้างเหตุขึ้นมาเพื่อจะสร้างสมขึ้นมาให้เป็นธรรมฝ่ายเหตุขึ้นมา

แล้วธรรมฝ่ายผลล่ะ ธรรมฝ่ายผลนี่ธรรมจักรหมุนเข้าไป ประหารเข้าไป ชี้ช่องทางบอกแนวทาง บอกว่าตรงนั้นตรงนั้นควรจะบุกเข้าไปเลย ตรงนั้นตรงนั้น เห็นไหม นั่นน่ะธรรมฝ่ายเหตุ พยายามจงใจเข้าไป ธรรมฝ่ายผลคือวิปัสสนา สมุจเฉทปหาน กิเลสขาดเป็นชั้นเป็นชั้นเข้าไป ผลเกิดขึ้นจากความสุข ความสุขมหาศาล ความสุขแบบที่ว่าไม่แปรสภาพ อกุปปธรรม

ความสุขในโลกนี้ใดๆ นี้มันแปรสภาพหมด แปรสภาพแล้วไม่มีคงที่ กับความสุขที่เป็นอกุปปธรรม จากชั้น ๑ ชั้น ๒ ชั้น ๓ เข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป ละเอียดอ่อนเข้าไป ภพชาติสั้นเข้า สั้นเข้า สั้นเข้า สั้นเข้าจนแบบภพชาติสิ้นไปเลย ภพชาติสิ้น ทั้งๆ ที่มีดวงใจอยู่นะ ดวงใจที่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นคนแล้วได้ประพฤติปฏิบัติด้วย ได้เป็นพระได้เป็นเณรออกบวชประพฤติปฏิบัติ จนใจดวงนั้นพ้นออกไปจากทุกข์ หายใจอยู่ หายใจเข้าหายใจออกอยู่เหมือนกับบุคคลธรรมดา

บุคคลธรรมดาก็หายใจเข้าหายใจออกอยู่ แต่มีแต่ความทุกข์ลนเผาหัวใจ หายใจเข้า หายใจออกอยู่โดยธรรมดา มีหัวใจอยู่เหมือนกัน แต่หัวใจที่บริสุทธิ์อยู่ในร่างกายนั้น คือไม่เกิดไม่ตายอีก ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่ ยังไม่ได้ตายโดยสมมุตินะ แต่กิเลสตายจากหัวใจแล้ว ดวงใจดวงนั้นถึงได้บริสุทธิ์ ถึงไม่มีเกิดไม่มีตาย ทั้งๆ ที่อยู่ในหัวใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ทูลขอไว้

“อานนท์ เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะก็ต้องนิพพานไปสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องแตกดับเป็นธรรมดา แม้แต่เราตถาคตก็ต้องดับสลายไปในคืนนี้”

ดับสลายไปนี้ดับสลายไปแต่ร่างกาย แต่ ๔๕ ปีที่ใจบริสุทธิ์ดวงนั้นมา ถึงว่ามันสิ้นสงสัย สิ้นเชื้อตั้งแต่วันตรัสรู้นั้น ใจดวงนั้นบริสุทธิ์มาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วมันจะเอาอะไรมาตายอีกล่ะ มันถึงไม่ได้ตาย เพียงแต่ร่างกายต้องกลับไปเป็นธาตุเดิมของเขา แต่หัวใจนั้นพ้นไปโดยอนุปาทิเสสนิพพาน จิตนั้นพ้นไป มันไม่ตายตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งๆ ที่ว่ามีชีวิตอยู่ ลมหายใจก็มีอยู่ แต่ไม่ตาย

แต่ของเรานี่สิ ของเราทุกข์อยู่ขนาดไหน “ของเรา” ของเราผู้ที่เป็นสาวกะๆ ถ้าของเราเป็นอย่างนั้น ตัวอย่างมี ครูอาจารย์มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้ว ครูบาอาจารย์เดินพ้นไปเป็นองค์ๆ ไป เป็น... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)